วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผัก เนื้อ มะเร็ง ปาณาติบาต


อ่านเรื่องราวผ่านตา เกี่ยวกับอาหาร โรคภัยที่ทั้งหมอจริงหมอไม่จริง เขียนเป็นบทความ ชวนเชิญให้ทานพืชผักแทนเนื้อบ้าง

หรือ สรรเสริญเรื่องพืชผัก จนเหมือนกับว่า พวกที่ทานเนื้อนั้นผิดปกติไปเลยก็มี

ส่วนใหญ่ที่ยกมา จะมีเรื่องของการเป็นมะเร็งอยู่เสมอ

อ่านแล้วมันก็สงสัยว่า.


 มะเร็งกับการกิน มันเกี่ยวข้องกันใช่ไหม.

 ซึ่งส่วนมากก็เขียนว่า ถ้ากินผักแล้วก็ปลอดภัยจากมะเร็ง..


มันใช่เหรอ


ในความเห็นเชิงพุทธนั้น มะเร็ง เป็นโรคกรรม ที่มาจากผู้ที่ผิดศีลปาณาติบาตเป็นหลัก อาจจะเกิดตามอวัยวะที่เราเคยใช้ทำบาปนั้น ๆ จนกระทั่งคู่กรณีตายไป เวลากรรมส่งผลอวัยวะนั้น ก็มาเป็นฆาตกร ฆ่าตัวเราเอง

ทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น.

ก็เราเชื่อแบบนี้.

เชื่อผลของกรรม



อาหารอาจจะมีผลหรือไม่มี ไม่รู้ อยากรู้ก็เลยลองหาข้อมูลมาดูเล่น

ตารางแรกคือ ประเทศที่มีคนเป็นมะเร็ง ต่อแสนคน อันดับหนึ่ง ก็เดนมาร์คเลย

ส่วนตารางที่สอง เป็นประเทศที่ ใช้ระบบออแกนิคในการทำการเกษตร เต็มรูปแบบ ซึ่งเดนมาร์ค ก็เต็มรูปแบบเช่นกัน


อันนี้จะบอกอะไรได้บ้างไหม ปลูกผักกินผักปลอดสารพิษ แล้ว ปลอดภัยจากมะเร็ง ..​ ไม่แน่ซะแล้ว


ที่แน่ๆ คือ ประเทศนี้ส่งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ไปทั่วยุโรป ก็คงมีผลต่อกฏแห่งกรรมบ้าง



This is a list of OECD countries by cancer rate, as measured by the number of new cancer cases per 100,000 population among OECD countries in 2012.




ที่มาของข้อมูลhttps://en.m.wikipedia.org/wiki/List_of_OECD_countries_by_cancer_rate


ตารางที่สอง ประเทศที่ผลิตพืชผักเป็นออแกนิคเต็มรูปแบบ



ที่มาของข้อมูล. https://en.m.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_with_organic_agriculture_regulation

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ปฏิสันถารคารวตา




       สงสัยไหม ว่าทำไมถึงเรียงหัวข้อธรรมในคารวะธรรม อย่างนั้น. อ่านแล้วจะได้หายสงสัย




[261] คารวะ หรือ คารวตา 6 (ความเคารพ, การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อ — reverence; esteem; attention; appreciative action)

1. สัตถุคารวตา (ความเคารพในพระศาสดา — reverence for the Master) ข้อนี้บางแห่งเขียนเป็น พุทธคารวตา (ความเคารพในพระพุทธเจ้า — reverence for the Buddha)

2. ธัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม — reverence for the Dhamma)

3. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ — reverence for the Order)

4. สิกขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา — reverence for the Training)

5. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ประมาท — reverence for earnestness)

6. ปฏิสันถารคารวตา (ความเคารพในปฏิสันถาร — reverence for hospitality)




ธรรม 6 อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแห่งภิกษุ.







องฺ.ฉกฺก. 22/303/368







เรื่องนี้ ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมาจากหลายๆ คัมภีร์ หลายๆ อาจารย์​ก็ยัง มีคำถามค้างใจว่า ทำไมถึงเรียงความสำคัญต่างๆ อย่างนี้.




เคารพเริ่มต้นที่ พระพุทธเจ้า จบลงที่ปฏิสันถาร... อ่านแล้วก็นึกไม่ออก เพราะในหมวดอื่นๆ เรียงความสำคัญข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด




จนเมื่อกระทั่ง สองคืนก่อน ได้มีโอกาสฟังหลวงพ่อทัตตะยกเรื่อง คารวะธรรมขึ้นมา




ท่านอธิบายดังนี้ ตอนหนึ่งว่า




ใครที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า

จึงจะ มีความเคารพในพระธรรม

ใครที่มีความเคารพใน. พระพุทธเจ้า. พระธรรม

จึงจะมีความเคารพในพระสงฆ์

ใครที่มีความเคารพใน. พระพุทธเจ้า. พระธรรม พระสงฆ์

จึงจะมีความเคารพในการสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ใครที่มีความเคารพใน. พระพุทธเจ้า. พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา

จึงจะมีความเคารพในความไม่ประมาท

ใครที่มีความเคารพใน. พระพุทธเจ้า. พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา ความไม่ประมาท จึงจะมีความเคารพในการปฏิสันถาร




ถ้าใครไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า

อย่าหวังว่าจะมีความเคารพในพระธรรม

ถ้าใครไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า. พระธรรม

อย่าหวังว่าจะมีความเคารพในพระสงฆ์

ถ้าใครไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า. พระธรรม. พระสงฆ์

อย่าหวังว่าจะมีความเคารพในบทสิกขา หรือการศึกษา

ถ้าใครไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า. พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา

อย่าหวังว่าจะมีความเคารพในความไม่ประมาท

ถ้าใครไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา ความไม่ประมาท

อย่าหวังว่าจะมีความเคารพในการปฏิสันถาร







การปฏิสันถาร เป็นคุณธรรมของการเผยแผ่

จะเผยแผ่ได้ ก็ต้องเก่งในเรื่องการปฏิสันถาร

จะปฏิสันถารได้ ก็ต้องมีความเคารพ อย่างจริงใจ ทั้งห้าข้อที่ผ่านมา




การสร้างนักปฏิสันถาร ขึ้นมา ต้องประกอบด้วยคุณธรรมความเคารพทั้งหมด จะตกหล่นข้อใดเป็นไม่ได้.










ฟังหลวงพ่อท่านแล้ว มองเห็นการเชื่อมโยงของธรรมะบทนี้ได้อย่างดี

กราบขอบพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว




ลองตรองตามดีๆ เถิด






วิ. 24 ตค 60

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ลิ้นพาจน



ลิ้นพาจน


คนเราจะไปมีปัญหากับคนที่คิดต่างกับเราทำไม

การที่คิดต่าง ก็เป็นเพราะมุมมองที่แตกต่าง ความเข้าใจที่แตกต่าง ความรู้ที่ไม่เท่ากัน

แต่เมื่อมีความคิดที่แตกต่างแล้ว

จะทำอย่างไร


หาข้อมูลทางวิชาการมารับรองความคิดของเรา
หาถูกหาผิด
หาเพื่อ..


เพื่อจะได้เห็นว่าเราเป็นฝ่ายถูก อีกฝ่ายนั้น ผิด...ๆ..ๆ
ใช่ไหม

หรือจะหาความจริงว่า สิ่งใดสมควรทำต่อไป สิ่งใดไม่สมควร


งั้นลองถามเล่นๆ ว่า

1+1 = 2 เสมอไหม ?
ถ้ามีคนตอบว่า เป็นเสมอ
อีกคนตอบว่าไม่เป็นล่ะ

จะทำอย่างไร

คนที่บอกว่าเป็นก็บอกว่า ได้เรียน ได้ยิน ได้ฟังมาอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้





อีกคนบอกว่า เอาทราย บวกกะทราย มันจะเป็นสองกองไหม

เอาเมฆหนึ่งก้อน บวกกะเมฆอีกหนึ่งก้อน มันจะเป็นสองก้อนไหม

อืมม มันก็มีปริมาณเพิ่มนะ แต่มันก็ไม่ได้เป็นสองกอง สองก้อน นะ

มันอยู่ที่บริบท และจุดที่จะจับมาเรียก



เราจะหาความจริงในเรื่องต่างๆได้ ก็ต้องมีทฤษฎี บทพิสูจน์จากผู้รู้ ที่เรามั่นใจว่า ท่านนั้นมีความรู้จริงในเรื่องนั้นๆ

แต่ถ้าเป็นเรื่องของความรู้ที่เหนือโลกนี้ล่ะ เรื่องของบุญ เรื่องของการเวียนตายเวียนเกิด ล่ะ

ถ้าหาไม่ถูกที่ ก็วนเวียนอยู่ในความไม่รู้ต่อไปใช้คาดเดา ตรรกะ มั่วๆ เอา ได้ไหม...
ไม่ได้

เรื่องในโลกนี้ก็เหมือนกันทั้งนั้น



วันก่อนมีคนแชร์เรื่อง เห็นพระไม่กี่รูป ฉัน ภัตตาหาร วางเต็มพื้นที่อาสน์สงฆ์ เรื่องราวทั้งหมดคือ เห็นแค่ภาพเดียว...





แค่ภาพเดียว...

ก็เริ่มมีการวิพากษ์ แล้วก็ วิจารณ์ กันไปเรื่อยๆ

เดี๋ยวนะ ก่อนจะพูดต่อเรื่องนี้ มีเรื่องเล่าจากอดีตมาฝากก่อน


เคยได้ยินทานชนิดหนึ่งไหม ที่ชื่อว่า "อสทิสทาน" ทานที่ยิ่งกว่าทานใดๆ มีครั้งเดียว ต่อพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์

ความยิ่งใหญ่ ในมหาทาน เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทำทานที่ประณีต ยิ่งใหญ่ แล้วก็อยากให้ประชาชนมองดูทานของท่าน จะได้ชื่นชม อนุโมทนา ท่านก็จะได้ปลื้มเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าท่านรู้เรื่องการสั่งสมบุญเป็นอย่างดี




ประชาชนเห็นแล้วก็ คิดกันว่า จะทำทานให้ยิ่งๆ กว่าของพระราชา ก็รวมกันช่วยกันทั้งเมือง ทานยิ่งประณีตกว่า ยิ่งใหญ่กว่า มากมายกว่า

พระราชาเห็นวัตถุทานของประชาชนแล้ว ก็กลับไปนั่งถอนใจ ว่าทำอย่างไรจะทำให้ยิ่งๆ กว่าของประชาชน

พระนางมัลลิกา จึงอาสาทำมหาทานนี้ เอาช้างมาถือฉัตร เอาเจ้าหญิงมาถวายภัตต์ เรื่อง ข้าวปลาอาหารไม่ต้องพูดถึง เกินความยิ่งใหญ่ไปเยอะ

แม้ถึงขนาดนี้ คนทั้งเมืองมุ่งทำทาน เพื่อเอาบุญใหญ่กัน อย่างสนุกสนานร่าเริงมีอำมาตย์ท่านหนึ่งชื่อว่า ชุณหะ ได้อนุโมทนา แล้วคิดว่า "มหาทานของพระราชาคราวนี้ ช่างยิ่งใหญ่นัก หากไม่ใช่พระราชาย่อมไม่มีทางกระทำได้ มหาทานยิ่งใหญ่ ขนาดนี้ มีหรือ พระองค์จะไม่อุทิศส่วนบุญแก่ใครๆ เราขออนุโมทนาบุญในบุญใหญ่ครั้งนี้"

แต่ก็มีอำมาตย์อีกท่านหนึ่งชื่อกาฬะ คิดในใจว่าพระราชาทำแล้วเสียเปล่า ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ พระราชาถึงความเสื่อมแล้ว ทำให้เสียทรัพย์เปล่าๆ ไปถึง 14 โกฏิ


ความคิดนี้เข้าไปในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้า ถ้าหากพระองค์ทำการอนุโมทนาให้ยิ่งใหญ่ เหมาะสมกับอสทิสทานแล้ว


กาฬอำมาตย์ผู้นี้คงเกิดความโกรธอย่างยิ่ง กระทั่งศีรษะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง มุ่งตรงลงสู่นรกไปเลยทีเดียว ทรงอนุเคราะห์ จึงอนุโมทนาเล็กน้อย แล้วหลีกไป


พระราชาสงสัยว่าเกิดอะไรทำไมจึงเป็นเช่นนี้ จึงไปตรัสถามพระพุทธเจ้าภายหลัง เมื่อทราบจึงมาถามอำมาตย์ทั้งสอง


อำมาตย์ทั้งสองรับว่าจริง พระองค์ทรงแบ่งส่วนบุญให้ชุณหอำมาตย์และให้ขึ้นครองราชแทนพระองค์ 7 วัน อนุญาตให้ทำทานได้เต็มที่ ส่วนของกาฬอำมาตย์นั้น


ขอยกข้อความในพระไตรปิฎกมาสักหน่อยละกัน


“พระราชาตรัสถามว่า "กาฬอำมาตย์ ได้ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ?"

เมื่อเขาทูลว่า "จริง" จึงตรัสว่า "เมื่อเราพร้อมกับบุตรภรรยาของเรา มิได้ถือเอาของมีอยู่ของท่าน ให้ของมีอยู่ของตน เบียดเบียนอะไรท่าน?

สิ่งใดที่เราให้แก่ท่านแล้ว สิ่งนั้นจงเป็นอันให้เลยทีเดียว แต่ท่านจงออกไปจากแว่นแคว้นของเรา"

ดังนี้แล้ว จึงทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น”


พระราชาบอกว่า ของก็ไม่ใช่ของท่าน มันไปหนักอะไรท่าน ?​ นี่แปลเป็นไทย

ในที่สุดพระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้น มหาบพิตร ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล ไม่ยินดีทานของผู้อื่น เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า ส่วนพวกนักปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ เบื้องหน้าโดยแท้"ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ ทานํ
ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน 
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺก. 

พวกคนตระหนี่จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย, พวกคนพาลแลย่อม 
ไม่สรรเสริญทาน, ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ 
เพราะเหตุนั้นนั่นเอง นักปราชญ์นั้น จึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า. 




กลับมาเรื่องปัจจุบันบ้าง


คนที่ไม่รู้เรื่องของบุญกุศล ไม่มีความศรัทธา ไม่เคยศึกษา
เมื่อมีเหตุการณ์ที่ยกมาว่า การถวายภัตตาหารพระมากมาย อย่างที่เห็นในภาพเพียงภาพเดียวนั้น ก็ออกมาพูดกันไป

มากอย่างไงก็ไม่ได้เศษเสี้ยวในล้านส่วนของอสทิสทาน พูดไปทำไมมี




เรื่องนี้ก็อยากเตือนท่านทั้งหลายว่า เห็นใครทำความดีให้อนุโมทนา เค้าไม่ได้เอาของๆเราไปทำ เราไม่มีส่วนได้เสียอะไร ก็อย่าไป.. กะเค้า

อย่าให้ความตระหนี่ในตัวเรามันโตจนล้นออกมา เป็นคำพูด ตัวหนังสือ คนอื่นเค้าจะรู้ว่า เราเป็นคนแบบไหน

คนไม่สรรเสริญทาน ที่คนอื่นทำแล้ว พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วเป็นคนเช่นไร

เราไม่เชื่อโลกหน้า ไม่เข้าใจเรื่องบุญ แต่เรื่องสิทธิส่วนบุคคลเราก็ให้เกียรติเค้าหน่อยจะเป็นไร เรื่องเราไม่เชื่อมันก็ไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป ก็คงต้องหาผู้ตัดสินว่าอะไรถูกผิด เรื่องเหนือโลกอย่างนี้ก็คงมีแต่ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองทางจิตมากพอจึงจะตอบได้ ถ้าหาถูกคนก็โชคดีไป สมัยนี้ หลายมหาลัยสอนให้คนที่เรียนเป็นนักข่าวทำตัวเหมือนหมาเฝ้าบ้าน เห่าไปก่อน ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องมีส่วนได้เสีย เห่าไป

มันใช่เหรอ


พ่อแม่เลี้ยงดูส่งเสีย จากประถม ผ่านมัธยมไปสู่มหาลัย เพื่อหวังให้เป็นคนเต็มคน ที่มีทั้งความรู้ความสามารถ

ไปๆมาๆ กลับได้หมามาตัวนึง ที่เห่าไม่รู้เวลา

ถ้าเป็นชาติคนแล้ว ก็ควรจะมีความคิดว่า สิ่งที่จะพูด จะเขียนออกไป ต้องไม่กระทบ ไม่เบียดเบียน เพื่อสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่


พูดไปแล้วทำให้คนอื่น และตัวเราเดือดร้อน ก็อย่าไปทำ

 

 เป็นคนเราเลือกที่จะพูดจะทำได้ เพราะคนคิดต่างกัน ไม่ใช่คนผิด แต่การล่วงเกินด้วยคำพูด ด้วยการกระทำนี่แหละผิด

อย่าไปมองหาข้อเสียคนอื่นเพื่อมาพูดเขียน แต่จงมองหาข้อดีเค้ามาเขียน

มองหาข้อเสียของตัวเราเองมาแก้ไข ดีกว่าไปยุ่งเรื่องอะไรของคนอื่นเค้า



วิ.22 กรกฎา 60




วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

คุณหลอก ปลา



คุณหลอก ปลา 


ภาพจากข่าว http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/742532

ภาพจากข่าว http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/751619


อ่านเรื่องราวในหน้าข่าว เรื่องที่ส่งมาตามกลุ่มต่างๆ ที่ระยะนี้ ชักชวนกันให้ไปรวยแบบทางลัดกัน ให้เงินทำงาน เอาเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีตัวตน ลงพันจะได้หมื่น เอาลงหมื่นจะได้แสน ซื้อของชิ้นนึง มีเงินปัน ครึ่งนึง มีลูกสาย ปลายสาย ท้ายสาย ก็ยิ่งมีหลายสาย หลายชั้น เงินมากขึ้น เห็นแล้วก็นึกถึงเรื่องราวที่เคยอ่านในชาดกเลยต้องไปพลิกหนังสือ ชาดก อ่านเรื่องเก่า

ทำไมมันช่างเหมือนของเก่าเสียจริง



รื่อง คุณหลอก ปลา 

เรื่องก็มีอยู่ว่า ประชาชนชาวหนองน้ำแห่งหนึ่ง อยู่กันอย่างมีความทุกข์ ความสุข สลับกันไป ตามแต่ธรรมชาติจะจัดสรรให้



ปีนี้ อากาศแห้งแล้ง ฝนไม่ตกทิ้งช่วงไป จนหนองน้ำแห่งนั้นกำลังจะเหือดแห้ง ประชาชน ปูปลา ก็เดือดร้อน กันถ้วนหน้า ไม่รู้ว่าจะรอดไปถึงปลายเดือนปลายปีไหม


อะไรที่เคยไปมาสะดวก ก็ยากลำบาก ติดเลน เกยตื้น อาหารการกินไม่ต้องพูดถึง เมื่อไปมาไม่สะดวก การไปออกล่าหากิน ก็ยากลำบาก หาไม่พอกิน พากันหิวโหย ยิ่งการดูแลจากหัวหน้าสระที่แย่งชิงอำนาจ เป็น หนองน้ำธิปัตย์ ดูแลเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็เริ่มหมดอำนาจ เพราะธรรมชาติลงโทษ เดือดร้อนเจียนตายกันไปหมด


หนองน้ำ... นะ จะไปไหน


ในขณะที่ประชาชนชาวหนองน้ำกำลังย่ำแย่ เหนื่อยหน่าย สิ้นหวัง อยู่นั้นนั่นเอง ก็ มีนกยาง ตัวหนึ่ง บินผ่านมา

มันเล็งเห็นช่องว่าง ระหว่างรอยหยักของสมอง ประชาชาชนชาวหนองว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ


เมื่อเราเป็นสัญชาตินก ก็ต้องช่วยเหลือกันหน่อย

คิดแล้ว ก็บินลงตรงไปที่ปากหนองน้ำนั้น. ทำทีเป็นยืนสงบนิ่ง สลับทอดถอนใจ ประชาชนปลาปู เห็นตั้งแต่ต้น ก็เกิดความสงสัย แต่ด้วยความเป็นศัตรูในห่วงโซ่อาหาร ก็กล้าๆกลัวๆ

เมื่อนกยางเห็นปลาใจกล้า ให้ความสนใจในท่าทีที่ตนแสดงออก ก็เลยพูดลอยๆ ไปว่า “ น่าเสียดายปลาพวกนี้ จะตายหมด ทั้งๆ ที่สระน้ำใกล้ๆ นี้ก็มีน้ำเต็มน่าอยู่อย่างยิ่ง น่าเสียดาย น่าเสียดาย” 



ปลานักแชร์ ได้ยินดังนั้น ก็เอาไปแชร์กระจาย จนสังคมชาวประชาชาวหนองเกิด ความคิดกันไปต่างๆ นาๆ


ถึงกระทั่งเห็นทางรอดของชีวิตรำไรๆ

จึงส่งตัวแทน ไป ฟังข้อเสนอของนกยางอย่างเป็นทางการ

นกยางเห็นคำพูดของตน ได้รับการสนใจแล้ว ก็ปล่อยมุกต่อไป ว่า เมื่อเราบินผ่านมาไม่ไกลจากที่นี้ เราเห็นสระน้ำกว้างใหญ่ มีบัว มีร่มไม้ มีน้ำลึก ไม่แห้งเหือดในระยะนี้แน่. มีนั่น มีนี่ มีโน่น มีอีก... ปรี๊ดๆๆ  (เสียงนกหวีดร้อง) เยอะแยะเลย นกว่า


ปลาตัวแทนฟังแล้วก็เคลิ้ม เหมือนได้รับการคืนความสุขมาทีละนิด


นกยางก็พูดต่อไปว่า “ข้าบำเพ็ญตนอยู่ช่วงนี้ เห็นพวกเจ้าเดือดร้อน อะไรที่ข้าพอช่วยพวกเจ้าได้ เพื่อคืนความสุขให้พวกเจ้า ในฐานะที่พวกของข้าเคยข่มเหง กินพวกเจ้ามามาก ข้าก็อยากช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากทุกข์ เช่น เป็นผู้นำพวกเจ้าไปสู่สระน้ำ แม้ว่าจะลำบากบินคาบพวกเจ้าไป ข้าก็ยินดีทำ พวกเจ้าไม่ได้เชิญข้ามา แต่ข้าก็อยากทำ ไม่หวังอะไรจากพวกเจ้าหรอก ถ้าเจ้าไม่ไว้ใจข้า ก็ส่งตัวแทนมา เดี๋ยวข้าจะพาไปดู”


ปลาผู้แทน ก็นำเรื่องที่นกยื่นข้อเสนอไปสู่ สภาประชาชนปลาปู แห่งหนองน้ำนั้นทันที เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน มิอาจชักช้าได้


สภาฯก็มีเสียงถกเถียงเพราะไม่ไว้วางใจ ในที่สุดก็เสนอปลานายแพทย์ เพราะมีการศึกษา เนื้อตัวเกล็ดแข็ง ทนอากาศ ให้ไปเซอร์เวย์ดู

เจ้านกยาง ก็ดีใจ ที่ประชาชนปลาปูหลงเชื่อ คาบปลาหมอ บินไปไม่ไกลก็ถึงสระน้ำ ก็ปล่อยปลาหมอให้ได้แหวกว่ายไปในสระนั้น

ตนก็ยืนดูนิ่งๆ ทำท่าทีดีใจ แล้วก็พาปลาหมอบินกลับมาที่เดิม


ปลาหมอเมื่อไปเห็น ได้ลิ้มรส สัมผัส แหวกว่าย แล้วก็ ส่งเสียงสนับสนุน ยืนยันต่อสภาประชาชนปลาปู รับรองให้กับนกยางเต็มที่ 



ตั้งแต่วันนั้น นกยางก็ไม่ต้องลำบากหาเศษหาเลยที่ไหน ปลาทั้งหลายก็มาใช้บริการ เดินทางไปสู่ภพหน้ากันถ้วนทั่ว กลายเป็นอาหารของนก จนหมดหนองน้ำนั้น


เหลือเพียงเจ๊ปูตัวเดียวที่สังเกตุอาการ ของ นกยางแล้วก็ไม่เคยเชื่อถือ แม้จะยกก้ามคัดค้านอย่างไง เสียงส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วย ยังยินดีเดินทางไปเป็นอาหาร เจ้านกนั้น 



เมื่อปลาหมดไปจากหนองน้ำนั้นแล้ว นกยางก็ทำทีเป็นนกดี จะเล่นเจ๊ปู

เจ๊ปูไม่เคยไว้ใจเจ้านกยาง คิดอุบายได้ ก็บอกเจ้านกยางว่า

ข้าวที่จำนำไว้..​เอ้อ. ผิดเรื่อง

"กระดองของข้า มันแข็ง ถ้าเจ้าคาบไว้ไม่ดี ข้าอาจตกมาตายได้ ขอให้ข้าเป็นคนออกแรงในการเกาะเจ้าไป ถ้าเผื่อข้าต้องตกลงมาตาย เจ้าจะได้ไม่ต้องโทษตัวเอง"

เจ้านกยาง คิดจะกินไม่ระวังตัว ก็ตกลงข้อเสนอ ให้ปูหนีบคอไป


พอถึงใกล้หนองน้ำ เจ้านกก็บินร่อนลง ตรงที่ที่เป็นเหมือนครัวของนกยาง แต่เป็นแดนประหารของปลาทั้งหลาย เป็นที่กินปลาทั้งหนองน้ำ

"นังปูเอ๋ย เอ็งคิดว่าข้าจะพาเจ้าไปสระน้ำหรือไร ที่ตรงนี้แหละจะเป็นที่สุดท้ายบนโลกนี้ของเอ็ง"

"อ้าว..ไอ้นกยาง เอ็งพูดอะไร เอ็งจะไม่พาข้าไปสระน้ำ แน่ใจใช่ไหม"

"แน่ซิวะ ข้ากินพวกเอ็งจนหมดประเทศหนองน้ำแล้ว เอ็งไม่รู้เหรอ ปัดโธ่ "



ว่าแล้วนกยาง ก็แสดงอำนาจ พยายามใช้ปาก ใช้เท้า แต่ ก้ามปูที่หนีบคออยู่นั้นทรงพลานุภาพกว่า


"ไอ้นกขี้จุ๊ใจร้าย เอ็งนี่มันจั๊ดง่าวแต๊ๆ เอ็งจะกินข้า ไปได้อย่างไง ในเมื่อข้าบีบคอเอ็งไว้อย่างนี้ เอ็งบินพาข้าไปสระน้ำเดี๋ยวนี้ " เจ๊ปูต่อว่า


แล้วเจ๊ปูก็เพิ่มแรงบีบ จนนกยางลิ้นจุกปาก รีบทำตามแต่โดยดี

เมื่อไปถึงที่แล้ว เจ๊ปูก็นึกถึง ประชาชนชาวปลาปูทั้งหมด ที่สังเวยให้กับคำหลอกลวง ความไว้วางใจ ความหวังลมๆแล้งๆ ที่จะได้สิ่งที่ดีกว่า ที่เป็นอยู่ จากคำพูดของนกพาล
นึกไปก็แค้น ก็เค้นก้ามปู แค้นมาก เค้นมาก บีบเข้าไป บีบเข้าไป  บีบแน่นเกินไป

รู้สึกตัวอีกที นกยางก็สิ้นใจ ไปแล้ว


ผู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น คือ รุกขเทวาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ เห็นแล้วจึงกล่าวคาถาว่า “ผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น ย่อมพบกับความทุกข์ เช่นนี้แล”



ข้อคิด

1. เมื่อมีปัญญาควรใช้ในทางที่ถูกต้อง

2. อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้ไม่ทันตนเอง

3. อย่าเห็นแก่ความสบายโดยลืมความเป็นจริง

4. อย่างเชื่อคนง่าย


ปัจจุบันนี้ เราก็คงพบเห็นคนอย่าง นกยางมากมาย ที่คอยหากินกับความเชื่อใจ ความรู้สึกศรัทธาของพวกเรา บางครั้งก็อาศัยความทุกข์ยากของพวกเรามาเป็นตัวล่อ วาดภาพอนาคตอันสวยหรู ให้เราฝันกันไปวันๆ




บางทีเราก็เจอกับพวกที่ หลอกล่อให้ลงทุน มาด้วยมาดของผู้ดี มีศักดิ์ มีฐานะ ให้ลงทุนด้วยเงินเล็กน้อย ให้เงินทำงาน แล้วเราก็รับปันส่วนแบ่งเป็นงวด เริ่มแรกทุกคนก็กลัวโดนหลอก แต่คนที่ตั้งใจจะหลอกแบบกินรวบ ก็ฉลาด หาปลาหมอสักตัว ให้ได้รับรางวัลไปก่อน เช่น จ่ายเงินปันผลก้อนโต ให้ได้ตามที่พูดที่บอก แก่คนกลุ่มที่เป็นปากเป็นเสียงให้ได้ หรือหาคนที่เคารพนับถือของคนอื่นๆ ให้ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ก็กลายมาเป็นปากเสียงแทน เหมือนปลาหมอในเรื่อง 




เมื่อปลาหมอทำงาน ไปรับรองให้กับนกยางแล้ว มีกี่กลุ่ม ไม่ว่าคนใกล้คนไกล ก็เริ่มหลอกกันต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเจอกับสิ่งที่ตนปรารถนา ซึ่งในที่สุด ก็จะตกเป็นเหยื่อของนกยางร้ายนั้นนั่นเอง


มีเท่าไหร่ ก็หมด

สังคมของเราจะมีเจ๊ปู ที่กล้าไปหนีบคอนกยางอย่างนั้น สักกี่คนกัน แล้วจะต้องรอให้หมดบาง ก่อนหรือไร ถึงจะรู้ตัวกัน


บางทีก็รู้ว่าโดนหลอก แต่เมื่อผลประโยชน์ยังมีความหวัง ก็เต็มใจให้เค้าหลอก แล้วก็ไปหลอกต่อกันไป เงินผ่านมือ ก็ติดมือไป อะไรทำนองนี้ 





ดังนั้น พวกเราคนวัด เข้าวัดมาแล้ว ก็จงพิจารณาในการทำสัมมาอาชีพให้ดี อย่าไปคิดว่า เงินที่มาอย่างง่ายๆ แบบแปลกๆ นั้น จะเป็นเรื่องดีงาม ถ้าเราพบเห็นว่าส่ิงที่เราทำนั้น มันเข้าข่ายของความไม่ปกติ ก็ถอนตัว เลิกเสีย

เสียน้อย ก็ยังดีกว่าเสียมาก ให้หยุดอย่าไปยุ่งกับลูกโซ่ ของการหลอกลวงนี้เถิด




สร้างบุญ สั่งสมบารมีกันต่อไปดีกว่า

เอวํ

วิ. 26 เมษา 60
(ความเดิมจากนิทานชาดก พกชาดก  นกยางกับปู  เรียบเรียงเพิ่มคำนิดหน่อย) 







วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

รถด่วนขบวนสุดท้าย



รถด่วนขบวนสุดท้าย



วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ไม่ใช่แค่เย็น แต่มันหนาวเสียดกระดูก ลมพัดแรง กรีดเข้าไปผ่าน ผ้าที่ห่อหุ้มกาย

มองนาฬิกาที่ ติดมาคู่กับสถานีรถไฟแห่งนี้ แล้วคงเก่าแก่พอๆกัน อายุน่าจะอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

เหลือเวลาอีก ห้านาที รถด่วนขบวนสุดท้ายของวันนี้ ถึงจะมา ถ้าพลาด ก็ต้องมาใหม่พรุ่งนี้ 



รถไฟที่ประเทศนี้ ไม่ค่อยจะผิดเวลา แม้จะมีหิมะตกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีเหตุอะไรที่จะทำให้รถไฟช้า นับกันเป็นนาที ตรงเป๊ะ

เหลืออีกหนึ่งนาที ก็เห็นหัวขบวนรถวิ่งเข้าสถานีมา เมื่อผู้โดยสารลง และขึ้นหมด ในช่วงเวลา ไม่ถึงนาที รถด่วนขบวนนี้ก็ออกจากสถานี เดินทางไปสู่จุดหมาย

นั่งดูวิวข้างทางเพลิน มาสะกิดใจ คำว่า “ รถด่วนขบวนสุดท้าย”

เพราะคำนี้เมื่อหลายปีก่อน พวกเราชาววัดนำมาเปรียบเทียบกับหมู่คณะของเราว่า เป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย


ขบวนที่จะนำพาหมู่คณะ ไปถึงฝั่งพระนิพพาน

ไม่ได้หมายความว่า พวกเราเป็นพวกเดียวที่จะพาสรรพสัตว์ไปได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น

ก็คงมีอีกหลายสถานี หลายขบวนที่จะพาสรรพสัตว์ ไปให้ถึงฝั่งพระนิพพานได้

แต่ที่เราเปรียบเทียบนั้น หมายถึงว่า พวกเราชาววัดมารวมกันก็เพียงเพื่อทำความดี มุ่งมั่นไปให้ถึงเป้าหมายของพวกเรา

เราอาจจะไม่คิดเหมือนหมู่คณะไหนๆ แม้ว่าจะมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำกิเลสให้หมด ให้พ้นจากห้วงทุกข์ ส่วนนิพพานที่เราจะไปหน้าตาจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีใครทราบ แต่เราก็เชื่อ ปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่า ณ ที่สุดตรงนั้นเป็น สุขอย่างยิ่ง. เป็นเป้าหมายของชาวพุทธทุกคน


เรายังมีใจที่คิดว่า ความทุกข์ในโลกนี้ มันมากมาย ถ้าเราจะเอาสรรพสัตว์เข้าพระนิพพานไปก่อนให้หมด แล้วพวกเราจะเข้าเป็นชุดสุดท้าย

เป็นขบวนสุดท้าย คิดแบบนี้ที่จริงเป็นความคิดที่ต้องใช้บารมีอย่างมาก ทั้งขันติ ทั้งปัญญา

เพราะเราไม่ได้คิดจะเอาตัวรอด หรือเอาแค่หมู่คณะรอด แต่เราจะขนสรรพสัตว์ไปให้หมด ทุกชีวิต รื้อภพ รื้อสังสารวัฏกันไปเลย



คิดได้ แต่ จะทำได้ไหม อันนั้น ก็เรื่องในอนาคต เราไม่รีบ


พวกเรา ชวน พวกเรา

ขึ้นรถด่วนขบวนสุดท้าย

ของ พวกเรา

เพื่อไปตามทางของ พวกเรา

ทำอย่างที่ พวกเราอยากทำ

เพื่อประโยชน์ ความสุข

ของตน หมู่คณะ และสรรพสัตว์ 




พวกท่าน อ่านถึงตรงนี้แล้ว มีทางเลือกคือ ท่านสังเกตุการณ์ บนรถด่วนกับพวกเรา

หรือ ไม่เป็นไร 
ท่าน ก็ วน เวียน ตายเกิด ไปตามปกติ 
อย่างไรเราก็ไม่ทิ้ง ท่าน 
สักวันหนึ่งเราจะกลับมาช่วย ท่าน 
ให้พ้นสังสารวัฏนี้ไปให้ได้ละกัน

ช่วงนี้ ท่าน ก็ปล่อยให้พวกเราทำหน้าที่ ตามปณิธานของพวกเราสักหน่อยนะ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครหรอกนะ ไม่เจ็บๆ

ตกลงตามนี้นะ

วิ. 
14 เมษายน 60

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

เราคือ คนพุทธ


พวกเราก็แค่เป็นชาวพุทธ. เฉยๆ 

เราไม่เคยต้องการคำต่อท้าย ความเป็นพุทธของพวกเรา ว่า แท้ ว่าเทียม ว่าอะไร ทั้งสิ้น เราเพียงรู้ว่า พวกเราเป็นชาวพุทธ มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่สร้างชาติ รักษาพระศาสนามาถึงพวกเรา

เราก็แค่ มาศึกษา พระไตรปิฏก ก็คัมภีร์ที่ทุกฝ่ายอ้างกันนั่นแหละ
เราก็แค่ ทำทานจริงๆจังๆ
เราก็แค่  รักษาศีลจริงๆจังๆ
เราก็แค่  ทำสมาธิเจริญภาวนา จริงๆจังๆ

เรื่องที่เขียนในพระไตรปิฏก เราก็พิสูจน์ ไปตามนั้น ด้วยกาย ใจ ของเรา 
แล้วเราก็เกิดศรัทธา เชื่อในประสบการณ์ ต่างๆ ที่เราพบแล้ว พบอีก จนเชื่อมั่นว่า สิ่งต่างๆ ที่มีมาในพระไตรปิฏกนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง นรก สวรรค์ ภพภูมิ ต่างๆ 

เป็นจริงไม่ใช่ เพียงแค่เป็นตัวอย่างประกอบลอยๆ  
ก็เราเชื่อแบบนี้ จากประสบการณ์ของพวกเรา 

แล้วมันผิดตรงไหน


เราแม้ไม่ได้ชื่อ พุทธ. และไม่มีคำต่อท้าย ว่า แท้ หรือเทียม
แต่เราก็รู้ว่า เราเป็นพุทธ ที่มุ่งมั่นจะเดินตามทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่สร้างบารมีทั้งสามสิบทัศ 

ความเป็นพุทธในตัวเรา มันไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันเป็นชีวิต เลือดเนื้อ จิตใจ ตัวตน วิญญาณ ของเรา  

ตลอดหลายต่อหลายปี โลกที่วุ่นวายนี้ การบ้านการเมือง มีผลต่อการสร้างบารมีของพวกเรา เราช่วยกันหยุดยับยั้งเรื่องอบายมุข เพราะหวังว่าคนรุ่นต่อไปของพวกเราจะได้มาถึงวัดก่อนจะไปถึงร้านเหล้า แหล่งมั่วสุม ยาเสพติด

เราเห็นพระพุทธศาสนาที่เรารัก ศรัทธา ถูกย่ำยี ทางภาคใต้ เราอยู่ไกล ก็ส่งอาหารแห้ง ปัจจัย ไทยธรรม ลงไปให้กำลังใจ ตลอดทุกเดือน เป็นเวลา12 ปี ต่อเนื่องกัน

เราเห็นเด็ก เยาวชน กำลังเดินหลงไปในโลกแห่งความโสมม สกปรก ที่ผู้ใหญ่ผู้เห็นแก่ตัว หลอกล่อ ด้วยอบายมุข เพื่อความโลภ ปรนเปรอตัวเอง เราก็ทุ่มเท ทั้งเงินทอง กำลังไปชี้ผิดชี้ถูกให้แก่ เยาวชน ฝึกฝนให้เค้ารู้ดีชั่ว จะได้ดูแลตัวเองได้ ยามที่ห่างจากอกพ่อแม่

เราเห็นวัดใหญ่ๆ ในเมืองหลวง วัดเล็กๆ ในต่างจังหวัด  พระ เณร แทบจะหมดวัด เหลือแต่สิ่งก่อสร้างที่บรรพบุรุษเราทิ้งไว้ เราก็ช่วยกันสร้างศาสนทายาท บวชพระทีละหมื่น ทีละแสน เหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ส่งไปอยู่ในวัดร้าง ทำจนกลายเป็นวัดรุ่งขึ้นมา

พร้อมกันกับการเผยแผ่ศาสนพุทธ ให้ไปสู่ชาวโลก ทุกทวีป ให้ชาวโลกผู้ห่างไกล ได้รู้จักกับการปฏิบัติ ของชาวพุทธ 


แต่เราไม่เคยสนใจว่าใครจะใส่ร้ายว่าร้ายเรา
แต่เราไม่เคยมาแก้ตัว แก้ต่างในคำเท็จเหล่านั้น
แต่เราไม่ได้เจ็บได้ปวดอะไรกับคำด่า ภาพตัดต่อ ความโง่เขลาเบาปัญญาของคนเหล่านี้

เราเห็นเป็นแค่ โลกธรรม มีสรรเสริญ ก็มีนินทา มียศ ก็มีเสื่อมยศ. ก็ปกติ ไม่แปลกอะไร


เพราะเรายึดหลักว่า เรื่องส่วนตัว ให้วางอุเบกขาแต่เรื่องพระศาสนา ต้องเอาอุเบกขาวาง 

 คือไม่ต้องไปอะไรกับเรื่องส่วนตัว มันมากนัก เดี๋ยวคนด่ามันเบื่อมันก็ไปด่าคนอื่นต่อ

แต่ถ้ามีใครจะทำลาย ทำร้าย พระพุทธศาสนาแล้ว เราก็เอาความนิ่งเฉยเหล่านั้น วางไว้ก่อน
เราจะรักษาพระศาสนาด้วย ลมหายใจ ด้วยกำลังกายของเรา

แม้ชีวิตนี้ เราก็ยกให้พระศาสนาได้ ใครจะมาทำลาย ทำร้าย พระศาสนาไม่ได้
อ้างกฏหมายที่คนมีกิเลส เขียนขึ้น มาทับ ธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ที่พระเราใช้ปฏิบัติกันมายาวนาน แม้พระมหากษัตริย์ในอดีตก็รับเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ จนมาถึงรุ่นเรา


แต่มาถึงยุคนี้ กลับมีกฏหมายเขียนขึ้นมาเพื่อทำลายพระศาสนาโดยตรง 
กดขี่ข่มเหง พระสงฆ์องค์เจ้า  ต้องการศาสนสมบัติ ลาภสักการะ 
กฏหมายแบบนี้เราจะรับได้เช่นไร 
เราก็คงเป็นคนดื้อของสังคม แต่นี่มันคือ ความถูกต้อง

เราแค่อยู่บนความถูกต้อง ที่เป็นจริง ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจใคร 
เราก็แค่อยู่บนความถูกต้อง ที่บรรพบุรุษเรารุ่นแล้วรุ่นเราเอาชีวิต เลือดเนื้อรักษามาให้
เราก็แค่ อยู่บนความถูกต้อง ที่เราจะทำเพื่อให้เป็นตัวอย่างไว้แก่ลูกๆ หลานๆ เราว่า

รุ่นเรานี้ แม้ตาย เราก็ไม่ทิ้งธรรม ไม่ทิ้งความถูกต้องยุติธรรม
ใครจะใช้อำนาจอะไร มาบังคับเรา แต่ไม่ถูกต้องซะแล้ว ก็อย่าหวังมาบังคับเราเลย

แม้ตายเราก็ไม่หวั่นอะไรนัก


ขอให้คนที่จะมาทำลายพวกเรา ทำร้ายพวกเรา แม้จะทำให้ตายหมดยกวัด ก็ตาม 
เราก็ขอแผ่ส่วนบุญที่เราทำมาแล้ว แผ่เมตตา ให้ถึงกับเขาเหล่านั้น 
อย่าให้กรรมอันชั่วช้านี้ ที่เค้าทำกับเราส่งผล ให้เป็นอโหสิกรรม 
ขอให้เขาเหล่านั้น มีความสุข
ขอให้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ทั้งปวง

ไม่ขอจองเวร จองกรรมกัน 
หากในสังสารวัฏนี้ได้เจอะเจอกันที่ไหน ก็ขอความปรารถนาดีนี้ จงเกิดกับเขาเหล่านั้นทุกชาติไป


ขอพระพุทธศาสนาจงยืนยงคงอยู่คู่โลก ตราบกัลปาวสาน 
ขอความถูกต้องความดี จงอยู่คู่โลกนี้ 
ขอความคิดที่เบียดเบียน เอาเปรียบ อวิชชา จงสลายหายไปถึงที่มา

ขอพระพุทธ จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ขอพระธรรม จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ขอพระสงฆ์ จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

วิ.8 มีนา 60


วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ถึง เด็กเลี้ยงวัว


ถึงใครที่ตั้งใจใช้ชื่อเด็กเลี้ยงวัว



พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกัน มีผู้นำที่ชี้ทางไปสู่ฝั่งฝัน ซึ่งพวกเราก็ไม่เคยมีความคิดเป็นอื่น ว่าท่านจะพาเราไปในทางที่ไม่ดี มีแต่ทางนำไปสู่ความเจริญ


ผ่านการเดินทางที่ยาวนาน ด้วยการสร้างสมบ่มบารมี สร้างคุณงามความดี มานับมากมายไม่ถ้วน

เราเหน็ดเหนื่อย เมื่อย ล้า แต่ไม่เคยท้อถอย หรือ ท้อแท้ มีแต่มุ่งเดินหน้าตามท่านไป

เราหิวกระหาย แต่เราไม่เคยอด หรือหมดโอกาสที่จะได้สร้างบุญ มีบุญใหญ่ๆ รอพวกเราเสมอ

เรามากันเป็นหมู่คณะ มีคนมาก หลากความคิด แต่เราก็มีใจรวมเป็นหนึ่งในการสร้างความดี อบรมฝึกฝนตนเอง

จึงทำให้หมู่คณะของเรา ร่มเย็นมีความสุข
ทำให้ สถานที่ของเรา พร้อมที่จะรับพวกพ้องพี่น้องของพวกเราที่ยังมาไม่ถึง และ เป็นที่ๆให้พวกเราที่มาแล้ว เก็บเกี่ยวบุญกุศลไป


เราทุกคน รัก เคารพ ใครคนหนึ่งคนนั้น อย่างสุดใจ อย่างไม่มีข้อสงสัย
เราทุกคน รัก หมู่คณะ
เราทุกคน มีความปรารถนาจะให้ก้าวไปข้างหน้า

แต่การกระทำของ เด็กเลี้ยงวัว ไม่น่ารักเลย
อ่านแล้ว นึกถึง วัสสการพราหมณ์

อ่านแล้ว ท่านกำลังมุ่งไปที่ ทำลาย ศรัทธา
ทำลาย ความรู้สึกดีๆ ที่พวกเรามีต่อกัน
ทำลาย ความสามัคคี ที่เป็นพลังการขับเคลื่อนของพวกเรา

ทำความสับสน ให้กับหมู่คณะ คนทั่วไป ที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง

สุดท้าย คือ
ท่านกำลังทำลาย ตัวตน จิตวิญญาณของตัวท่านเอง เด็กเลี้ยงวัว

ท่านจะทำไปทำไม
ท่านปล่อยวัว ไปซะ แล้วกลับไปทำหน้าที่ของท่าน เหมือนดั่งที่เคยทำมา

ความปราถนาดี ที่ท่านพยายามเขียน นั้น มันไม่มีในบทความ แต่มันเป็นการทำลายซะมากกว่า



ขอร้อง วิงวอน ให้ท่าน หันหน้ากลับมา เดินร่วมทางกันเหมือนเดิม
ขอร้อง วิงวอน ให้ท่าน หยุดที่จะคิดเดินตาม นายมะนาว มะพร้าว มะกรูด อะไรก็ตาม

หยุด ก่อนเถอะ ท่านที่รัก

ทุกส่วนที่ท่านกล่าวถึงนั้น ทำงานกันไม่เคยพัก เราจึงมาถึงวันนี้ได้
แต่การทำงานใดๆ ก็ตาม มันไม่สามารถไปโฆษณาได้ จนกว่างานจะสำเร็จ

มันไม่ใช่เรื่องบอกบุญชวนคนมาสร้างโน่นนี่
มันเป็นเรื่องของหลายฝ่าย ที่มีทั้งข้อตกลง สัญญา การถกเถียงที่ไม่มีวันจบ
โดยเฉพาะ การรักษาผลประโยชน์ และ คนที่คือใครคนนั้น



ถ้าคิดว่า จะทำอะไรได้ ก็ช่วยกันทำ อย่าทำโดยการทำลายล้าง คนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี

อย่าใช้วิธี เหยียบทุกคนที่ไม่ชอบใจ อคติส่วนตัว เพื่อให้ตัวเองดูเด่น

แล้วมันจะพังไปทั้งหมด



ความสามัคคีที่พวกเราทำกันมา จะพาพวกเราไปสู่สุดทาง
อย่าว่าแต่คนๆ อย่างพวกเรา
แม้กิ่งไม้ไม่มีวิญญาณครอง รวมกลุ่มกัน ก็ยากจะมีใครหักหาญลงไปได้

อย่าได้ทำลายกันเลย นะท่าน..

วิ. 7 กพ.60

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

พูด กะ ทำ

พูดน่ะพูดได้  ใครๆ ก็พูดได้


การว่ายน้ำ อ่านหนังสือท่องจำได้ ต้องหายใจแบบไหน ต้องคว่ำมือ คว่ำหน้า กางแขน สะบัดขาอย่างไร อ่านได้จำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะว่ายน้ำเป็น
พูดได้ วิจารณ์ได้ เห็นคนแข่งว่ายน้ำ วิจารณ์ได้ โดยไม่เคยว่ายน้ำเอง

เรียนหนังสือมามากมาย แทบจะทุกวิชา แต่ถ้าแค่จำได้ ก็คงใช้ทำอะไรไม่ได้ เป็นนักจำสูตรเคมี แต่ไม่เคยเข้าแลป ก็คงไม่เป็นนักเคมี
แต่ก็วิจารณ์ได้ พูดได้ ว่านักเคมีคนนั้นเก่ง คนนี้ไม่ได้เรื่อง พูดได้ 

จำสูตรกับข้าวได้ แต่ไม่เคยทำกับข้าว ก็ไม่แน่ว่า ทำกับข้าวออกมาแล้วจะมีใครทานลงไหม
แต่ก็พูดได้ เป็นช่องเป็นฉาก วิจารณ์รสชาติ หน้าตาคนขาย พูดไป


มีบางคนในสังคมนี้ ชอบออกมาวิจารณ์การปฏิบัติของพระ ว่าไม่อยู่ในวินัย ในศีล วิจารณ์ข้อวัตรปฏิบัติ ของพระมหาเถระ ดุจดั่งตั้งตัวเองเป็นศาสดา

โดนคนถามกลางรายการๆ หนึ่งว่า ที่คุณวิจารณ์พระต่างๆ คุณเคยบวชไหม ?

นึกว่าคำตอบจะบอกว่า บวชหลายพรรษาตั้งแต่เด็กจนแก่ จึงรู้วินัยอย่างดี


แต่ที่ไหนได้ คำตอบกลับเป็นว่าไม่เคย”. ไม่เคยปฏิบัติ ไม่รู้ชีวิต สังคม ของพระทั้งสิ้น ทั้งหมด ได้มาจากการอ่าน การคิด คาดเดา 

เหมือนเกิดมากินแต่ ข้าวคลุกน้ำปลา อย่างเดียว. แต่กลับไปวิจารณ์ อาหารเหลา ที่เคยได้แต่มองด้วยสายตาโหยหา แล้วก็วิจารณ์เรื่อยไป 

ก็พูดได้ วิจารณ์ได้ วัดเคยเข้าไปไหมก็ไม่มีใครแน่ใจ แต่พูดได้ วิจารณ์ได้ 

ได้แต่ รำพึงว่า  คนเดี๋ยวนี้ เก่ง เรือ หาย ทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของตัวนี่เก่งแท้

พูดนะพูดได้ ใครๆ ก็พูดได้

แล้วทำได้ไหมล่ะ

วิ.17 มค.60